วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

บทเรียนแรก คือ ปล่อยเล่นกับเพื่อน ๆ เพื่อละลายพฤติกรรม เจ้ากล้วยปิ้งเข้ากับเพื่อน ๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่มีความก้าวร้าว หวาดระแวง เวลาแจกขนม จะเข้ามาดม ๆ แต่ไม่ยอมกิน เหมือนเพื่อนตัวอื่น ๆ สนใจที่จะเล่นเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นก็ลองใส่สายจูง เพื่อพาไปเดินเที่ยว ที่ผ่านมาเขาไม่เคยได้ใช้สายจูงในการเดินเลย เลยทำให้เค้าตัวสั่น และยืนนิ่ง ตัวแข็งเกร็ง เลยต้องใช้สุนัขอีกตัว ใส่สายจูงคู่กัน และพาเดินจนเค้าชิน และยอมเดินตามอย่างง่ายดาย ...




          หลังจากที่ปล่อยเล่นกันอย่างสนุกสนาน ถึงเวลาอาหารมื้อแรกของเค้าแล้ว ในการให้อาหารในครั้งนี้กล้วยปิ้งไม่ยอมแตะอาหารเลย แม้แต่เม็ดเดียว .. ผ่านไป 20 นาที อาหารถูกเก็บออกจากกรง คงเหลือทิ้งไว้แต่น้ำสะอาด เพียงเท่านั้น ... คืนแรกผ่านไป ... เริ่มต้นเช้าวันใหม่ กับการวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน กล้วยปิ้งสามารถใช้สายจูงในการพาเดินเที่ยว ซึ่งเค้าก็ชอบมาก ๆ เดินตามไปทุกที่ที่เราพาไป หลังจากที่ปล่อยให้เค้าทำธุระเสร็จ เช็ดตัวเสร็จ เมนูแรกของเช้านี้คือ “อาหารเม็ด ราดด้วยนม” เค้าเอร็ดอร่อยกับอาหารเช้ามาก แต่เลือกกินแต่นม คงเหลือทิ้งไว้ แต่อาหารเม็ด และถูกเก็บออกมาตามระเบียบ ระหว่างวัน เค้าได้วิ่งเล่นกับเพื่อน อย่างสนุกสนาน พอถึงมื้อเย็น ลองปรับเปลี่ยนวิธีการให้อาหารแบบ 2 ตัวต่อ 1 ชาม เค้ามองเพื่อนกินอย่างเอร็ดอร่อย และเก็บอาหารเม็ด ที่ตกจากชามมากิน แต่ไม่เข้าไปแย่งอาหาร แต่พอเราเอาอาหารเข้าไปเพิ่มให้เค้าอีก 1 ถ้วย เค้าก็ไม่ยอมกิน จนต้องเก็บออกมาอีกตามเคย ถือเป็นมื้อที่ 3 ที่เค้าได้กินอาหารที่ตกมาไม่กี่เม็ด
http://pet.kapook.com/

10 ข้อ สุดยอดความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับกระต่าย ที่คุณอาจฆ่าชีวิตน้อยๆโดยที่ไม่รู้ตัว

กระต่ายเลี้ยงง่าย เหมาะสำหรับซื้อให้เด็กมาเลี้ยงเล่น


รูปกระต่าย

          การซื้อกระต่ายให้เด็กเลี้ยงเล่น คือการทรมานสัตว์ เด็ก ๆ ส่วนมากมักไม่รู้วิธีดูแลกระต่าย ไม่รู้วิธีเล่นกับกระต่ายอย่างอ่อนโยน และอยากได้สัตว์ที่เอามาอุ้มเล่นกอดเล่นได้ แต่กระต่ายส่วนมากเป็นสัตว์ที่บอบบางมาก ๆ เป็นสัตว์ที่ถูกล่า การกระทำรุนแรงกับเขาเพียงนิดเดียวจะทำให้กระต่ายไม่ไว้ใจคนและเครียด แม้กระต่ายบางตัวจะยอมให้อุ้ม แต่บางตัวก็ไม่ยอมให้อุ้ม

          สัญชาตญาณของกระต่าย คือ อยากอยู่กับพื้น อยู่ในโพรงที่เขารู้สึกปลอดภัยมากกว่า ถ้าไม่มีผู้ใหญ่ที่ให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับกระต่าย และคอยไม่ให้เด็กแกล้งกระต่าย การซื้อกระต่ายเป็นเพื่อนให้เด็กโดยไม่ได้ศึกษาข้อมูลที่ถูกต้อง เป็นอะไรที่ไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง


รูปกระต่าย

2.กระต่ายอึเหม็น

          อึของกระต่ายปกติจะไม่เหม็น ที่เหม็นคือฉี่ของกระต่าย จริง ๆ แล้ว เราสามารถฝึกกระต่ายให้เข้าห้องน้ำเป็นที่เป็นทางได้ โดยเขาอาจจะมีมุมห้องน้ำที่เขาชอบ(อาจจะมีสองสามมุม) เราแค่เอาห้องน้ำกระต่ายไปวางไว้ เขาก็จะจำกลิ่นและเข้าห้องน้ำได้เป็นที่เป็นทาง แต่ที่ไม่ควรทำคือเอาห้องน้ำของแมวที่มีสารดับกลิ่นมาใช้กับกระต่าย ถ้าจะรองก็ควรใช้แค่ขี้เลื่อย หรือหนังสือพิมพ์แทน


3. กระต่ายเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย ราคาถูก

          การเลี้ยงกระต่ายไม่เหมือนเลี้ยงปลาหรือหนูแฮมสเตอร์ ค่าตัวของน้องเขาอาจแค่ไม่กี่ร้อยถึงหลักพันบาทเท่านั้น แต่ค่าดูแลรักษานั้นสูงกว่ามาก ๆ เช่น ค่าอุปกรณ์ อาหาร ค่าหมอ ฯลฯ นอกจากนี้คือ ค่าสิ่งของที่น้องเขาอาจไปทำลาย เนื่องจากกระต่ายมีนิสัยที่ห้ามไม่ได้คือ ชอบขุด และชอบแทะ เป็นเหมือนกันทุกตัว สายคอมพิวเตอร์ สายไฟ ฯลฯ ทั้งหมดต้องเก็บซ่อนให้พ้นฟันกระต่าย


รูปกระต่าย

4. หิ้วด้วยหู

          กระต่ายน้อยของคุณไม่ใช่ Bug Bunny ! หูของกระต่ายเป็นบริเวณที่อ่อนไหวมาก ๆ การที่หิ้วหูแล้วน้องเค้าไม่ร้อง ไม่ได้แปลว่าเขาไม่เจ็บ

          การหิ้วหูอาจทำให้เจ็บถึงตายได้....ย้ำอีกครั้ง ห้าม หิ้ว หู กระต่าย เป็น อัน ขาด!!

          สำหรับวิธีอุ้มที่ถูกวิธีคือ เอามือดึงบริเวณหลัง แล้วเอามือพยุงก้นอีกข้างเพื่อช่วยรองรับน้ำหนัก หรืออาจใช้วิธีการช้อนใต้ท้องให้ขาหน้าอยู่ระหว่างนิ้วแล้วเอามืออีกข้างพยุงก้น โดยวิธีนี้เราอาจจะพอดึงเข้ามากอดได้ แล้วแต่นิสัยของกระต่าย


รูปกระต่าย

5. กระต่ายกินผักบุ้งกับแครอท เป็นอาหารหลัก

          อะไรที่กระต่ายกินเข้าไป ไม่ได้แปลว่ากินไปแล้วจะไม่มีปัญหา แครอทกินได้บ้าง แต่ผักบุ้ง ไม่สมควรเป็นอันขาด เพราะมียางสูง เขาไม่สามารถย่อยได้ กระต่ายเป็นสัตว์กินพืช แปลว่าไม่กินเนื้อสัตว์ (ต้องเขียนย้ำเพราะยังมีผู้เลี้ยงบางคนเอาเนื้อสัตว์ให้กิน)

          สำหรับอาหารที่มีแป้งสูง กินไม่ได้ทั้งนั้น เช่นมัน ขนม ผักบางชนิด แคลเซียมสูงเกินไป กระต่ายกินแล้วเป็นนิ่วได้ อาหารหลักที่ดีที่สุดสำหรับกระต่ายคือ หญ้า สามารถซื้อหญ้าแห้งตามร้านอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง หรืออาจจะเก็บหญ้าขนสดข้างทางนำมาล้างให้สะอาดก็ทำได้ ส่วนผักนั้นกินได้เป็นบางชนิด สำหรับบางชนิดนั้นไม่ดีต่อกระต่ายเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เกิดอาการท้องผูกหรือท้องเสีย ซึ่งเป็นอาการที่เป็นอันตรายถึงชีวิต แค่ให้อาหารผิด ลืมล้างผัก อาจทำให้ท้องเสียถึงตายได้ ดังนั้น ผู้เลี้ยงควรศึกษาเรื่องโภชนาการสำหรับกระต่ายก่อนอย่างยิ่ง


รูปกระต่าย


6. กระต่ายแคระ

          กระต่ายแคระตัวหนักไม่ถึงหนึ่งกิโลกรัมมีจริง คือพันธุ์ Netherland Dwarf หรือ ND สำหรับกระต่ายบ้านที่เอามาเลี้ยงพันธุ์เล็ก ๆ อีกสายพันธุ์คือ Holland Lop น้ำหนักอยู่ที่ประมาณหนึ่งกิโลกรัมปลาย ๆ ....อ้าว แล้วอันนี้เข้าใจผิดตรงไหน??

          กระต่ายที่วางกระจาดขายหรือใส่กรงเล็ก ๆ ขายตามตลาดนัดที่คนขายอ้างว่าเป็น "กระต่ายแคระ" ส่วนมากไม่ใช่ กระต่ายแคระจริง ๆ ราคาหลักร้อยไม่มีแน่นอน โดยมากจากฟาร์มราคาจะหลักพัน ซึ่งส่วนมากที่นำมาขายคือกระต่ายเด็ก.. หรือกระต่ายที่ไม่หย่านม โดยกระต่ายเหล่านี้มักจะถูกนำมาขายเมื่ออายุได้แค่เดือนเดียว ซึ่งยังไม่มีภูมิคุ้มกันที่ต้องการ ร้อยละ 95 ของผู้ซื้อ เลี้ยงไม่รอด และกระต่ายจะตายภายในไม่กี่อาทิตย์ เชื่อว่ากระต่ายที่หลายคนแห่ไปซื้อกันช่วงปีใหม่ก็ติดโผในนี้ด้วย

          ถามว่าทำไมถึงยังมีขายอยู่?... คำตอบคือ เนื่องจากมี demand ก็ต้องมี supply ถ้าหยุดซื้อ.. ก็จะหยุดคนขายได้ เลิกซื้อนะครับ กระต่ายเด็ก


รูปกระต่าย

7.เลี้ยงกระต่ายต้องเลี้ยงเป็นคู่ เดี๋ยวน้องเค้าเหงา

          กระต่ายต้องการความรักตลอดเวลา สำหรับวิธีแสดงความรักของกระต่ายคือ การเลียมือ เข้ามาคลอเคลีย กระต่ายเป็นสัตว์ที่ชอบการสัมผัสมาก ๆ การที่เรามีเวลาให้เขาหนึ่งชั่วโมงต่อวัน แค่นี้ก็เพียงพอ เลี้ยงตัวเดียวก็ไม่เหงา

          จริง ๆ เคยอ่านบทความของฝรั่งเขาว่ากระต่ายมีแนวโน้มที่จะเข้ากับสัตว์อื่น(คน) ได้มากกว่ากระต่ายตัวอื่นด้วยซ้ำ เพราะกระต่ายบางทีมีการหวงพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวผู้ vs ตัวผู้ ส่วนการเลี้ยงกระต่ายร่วมกับสัตว์อื่น เช่น แมว และสุนัข แนะนำว่าต้องศึกษานิสัยของสัตว์เลี้ยงเดิมอย่างดีก่อน แล้วก็ต้องคอยเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะความผิดพลาดครั้งเดียวเป็นการสูญเสียได้

          ส่วนคนที่ซื้อกระต่ายเป็นคู่ แนะนำอย่างยิ่งว่าให้นำไปทำหมัน เพราะกระต่ายใช้เวลาตั้งท้องเพียงเดือนเดียวเพื่อคลอดลูกมา 4-5 ตัวต่อครอก การเลี้ยงโดยไม่ทำหมัน ปล่อย ๆ มีลูก.. จากสองตัวทวีคูณเป็นยี่สิบได้ภายในไม่กี่เดือน ดังนั้น คิดจะเลี้ยง คิดจะรัก ต้องรู้จักป้องกันนะจ๊ะ


8. เลี้ยงไม่ไหวแล้ว ไปปล่อยป่าดีกว่า

          ต่อจากข้อ 7. ผู้เลี้ยงบางท่าน (คนใกล้ตัวก็มี) เลือกที่จะปล่อยกระต่าย ด้วยเหตุผลที่ว่าเลี้ยงไม่ไหว เบื่อ ไม่เห่อแล้ว ลูกออกมาเยอะเกิน ที่หอไม่ให้เลี้ยง (ไม่ถามก่อนฟะ?) ฯลฯ

          การปล่อยกระต่ายเข้าป่า = ฆ่ากระต่าย

          กระต่ายบ้าน (rabbit) ไม่เหมือนกระต่ายป่า (hare) สัญชาตญาณการเอาตัวรอดอะไรไม่ดีพอที่จะอยู่รอดในฝูงนักล่า ถึงอยู่รอดจากหมาแมวได้ ก็จะเจอกับปัญหาเรื่องอาหารการกิน ฯลฯ สำหรับกรณีที่ไม่ไหวจริง ๆ ให้ลองเสิร์จหาเกาะกระต่าย บึงฉวาก กันดูนะ


รูปกระต่าย


9. กระต่ายโง่ กินกับนอนเป็นอย่างเดียว

          จริง ๆ แล้วกระต่ายค่อนข้างฉลาดพอสมควร เพียงแต่ไม่ฉลาดประจบเอาใจเหมือนหมาแมว แต่มักจะฉลาดเอาตัวรอด ฉลาดที่จะหาอะไรให้ตัวเอง เพราะกระต่ายเป็นสัตว์ที่มีโลกส่วนตัวสูง การจะฝึกให้ทำอะไรตามใจเจ้าของเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ถ้าไม่มีแรงจูงใจให้กับเขาเอง ทั้งนี้ ผู้เลี้ยงกระต่ายหลายคนจะพบว่า กระต่ายจะมาหาเรา เมื่อเขาอยากมาหา เวลาที่เขาไม่อยากมาอ้อนเรา เรียกให้ตายยังไงเขาก็ไม่มา

          บางครั้งเขาอาจจะเข้าใจว่าเราอยากให้เขาทำอะไร แต่ในใจเขาอาจจะคิดว่า "แล้วไง แล้วฉันจะได้อะไร?" ...กระต่ายสามารถถูกฝึกให้เข้าห้องน้ำเป็นที่ได้ วิ่งขึ้นลงบันไดเป็น เปิดประตูเปิดกรงเอง บางตัวจำชื่อตัวเองได้ด้วยล่ะ


รูปกระต่าย

10. กระต่าย ตายง่าย.. อายุสั้น

          เป็นความเชื่อที่ผิด ส่วนหนึ่งมากจากผู้เลี้ยงกระต่ายเด็กแล้วไปไม่รอด ตายภายในไม่กี่วัน ส่วนผู้เลี้ยงกระต่ายอื่น ๆ ทั่วไป ที่อาจดูแลไม่ดี หรือไม่ได้ศึกษาข้อมูลเพียงพอ หรือเลี้ยงแบบตามใจ อาจจะอยู่ได้เพียง 3-4 ปี แต่อายุขัยของกระต่ายจริง ๆ คือ 8-12 ปี ถ้าเลี้ยงดูอย่างดี พาไปทำหมันเรียบร้อย ไม่เครียดไม่อะไร น้อง ๆ จะอยู่กับเราได้นาน

          ทั้งนี้ การเลี้ยงกระต่ายต้องอาศัยความเอาใจใส่ ความรัก และการสังเกตตลอดเวลา ความที่เป็นสัตว์ถูกล่า กระต่ายมักจะไม่แสดงอาการป่วยจนกว่าจะไม่ไหวจริง ๆ ในขณะเดียวกัน กระต่ายเป็นสัตว์ที่ไม่มีเสียงร้อง ไม่สามารถร้องอ้อน หรือส่งเสียงไม่สบายใจใด ๆ กระต่ายจะร้องได้ก็ต่อเมื่อทรมานสุด ๆ และเจ็บสุด ๆ เป็นเสียงก่อนตายเท่านั้น

http://pet.kapook.com/view20319.html

การทำเค้ก

วิธีที่1 ตีเนยกับน้ำตาล
1. ใช้หัวตีใบไม้ ใช้ความเร็วในการตีเนยเบอร์สองเพราะถ้าตีแรงเกินจะทำให้เนยกลายเป็นของเหลว ขาดคุณสมบัติในการเก็บอากาศ แต่ถ้าตีมากเกินเนยจะเหลวเก็บอากาศไม่ได้
2. การใช้เนยสดไม่ควรใช้เนยที่เย็นมากเพราะจะแข็งการตีจะยาก ควรตั้งไว้ในอุณหภูมิห้องสัก 15-20 นาทีก่อนแต่ห้ามนำไปโดนความร้อนเพราะเนยจะเหลวไป
3.น้ำตาลที่ใช้ควรเป็น น้ำตาลบดเพราะจะช่วยในการตีเนยนั้นสามารถเก็บอากาศได้มากขึ้น แต่ถ้าใช้ไอซิ่งจะทำให้เนื้อเค้กแน่น เนื่องจากในไอซิ่งมีแป้งหนักผสม
4. การเติมน้ำตาลต้องเติมทีละน้อยประมาณครั้งละช้อนเพราะการเติมมากเกินไป การเก็บอากาศจะทำได้ไม่ดีใช้เวลาประมาณ8-15 นาที การเติมน้ำตาลทำต่อเนื่องช้อนต่อช้อนจนหมด
5.การเติมไข่ต้องเติมทีละฟอง แล้วตีให้เข้ากันดีก่อนจึงจะเติมฟองต่อไปใช้เวลาประมาณฟองละ 1/2 นาที เพราะไข่เป็นของเหลวจะเข้ากับครีมยาก ไข่ที่ใช้ควรเป็นไข่ที่พึ่งนำออกจากตู้เย็น
6.การผสมแป้งต้องผสมอย่างเบาและเร็วสามารถใช้เครื่องได้ โดยใช้ความเร็วเบอร์ต่ำสุด
โดย แบ่งแป้งเป็น 3 ส่วน แบ่งนมหรือน้ำเป็น 2 ส่วนสลับกันใส่โดยใส่แป้งไป 1/3 ก่อน แล้วจึงใส่นมตาม ต้องใส่แป้งสุดท้ายเพราะแป้งจะได้ดูดซับนมไว้
7.การผสมแป้งแต่ละครั้งต้องให้เข้าเป็นเนื้อเดียวก่อนเติมนม และเมื่อเข้ากันดีไม่ควรคนต่อ
เพราะจะทำให้เนื้อขนมที่ได้แน่นเหนียว
• กรณีใช้มือทำควรใช้หัวตีตะกร้อคนไปทางเดียวกันตลอดเพื่อเก็บอากาศ แต่เมื่อจะผสมแป้งและน้ำลงควรใช้พายยางตะล่อมเบาๆ แต่เร็ว เพื่อเก็บอากาศไว้ให้มากที่สุด

วิธีที่ 2 ตีเนยกับแป้ง ใช้กับเค้กที่มีปริมาณน้ำตาลหรือน้ำในส่วนผสมมาก เค้กที่ได้จะมีปริมาณต่ำแต่มีความชุ่มนุ่ม รูละเอียด เนื้อสัมผัสและคุณภาพในการเก็บดี
1. ร่อนแป้งกับของแห้งเช่น ผงฟู เกลือ โกโก้เป็นต้น แล้วใส่อ่างผสมไว้
2. เติมเนยที่มีอุณหภูมิห้อง ( ลักษณะคล้ายดินน้ำมัน ) พอแป้งเป็นเม็ดเล็กๆ คล้ายเม็ดทราย ใช้หัวตีตะกร้อความเร็วต่ำ (เบอร์ 1)
3. เติมของเหลวประมาณ 1/2 ส่วนของของเหลวทั้งหมด ผสมพอเข้ากันจึงเติมของเหลวที่เหลือทั้งหมด ใช้ความเร็วปานกลาง ( เบอร์ 2 )
4. พอส่วนผสมเข้ากันจนเนียนแล้วเทใส่พิมพ์ที่ทาไขมันบางๆ นำเข้าอบ

วิธี ที่3 ผสมน้ำกับน้ำตาล วิธีนี้จะทำให้ขนมขึ้นฟูดี เพราะฉะนั้น จึงไม่จำเป็นที่จะต้องปาดอ่างผสมระหว่างทำ การใช้ผงฟูสำหรับวิธีนี้ให้ลดลงประมาณ 10 % ของปริมาณปกติที่จะต้องใช้
1. ผสมน้ำตาลที่มีในตำรับทั้งหมดในอ่างผสมใส่น้ำ ( ซึ่งมีปริมาณน้ำหนักครึ่งหนึ่งของน้ำหนักน้ำตาล ) ลงไปคนให้น้ำตาลละลาย
2. นำของแห้งที่ร่อนรวมกันไว้แล้วเทลง ตีด้วยความเร็วปานกลาง ( เบอร์ 2 ) จนกระทั้งขึ้นฟู
3. เติมไข่ไก่ลงไปทีละฟองตีจนกระทั่งเรียบเนียน ผสมกับเนยละลาย เทลงพิมพ์

วิธี ที่4 ผสมแบบขั้นตอนเดียว ส่วนมากเหมาะกับเค้กสำเร็จรูป วิธีนี้จะต้องใช้สารอิมัลซิไฟล์เออร์จึงจะได้ผลดี ต้องใช้เครื่องผสมจะดีกว่า ( อิมัลซิไฟเออร์ได้แก่ เอสพี , โอวาเล็ต )
1. นำส่วนผสมที่เป็นของเหลวเทลงอ่างผสม แล้วเทส่วนของแห้งตาม
2. ใช้หัวตีตะกร้อตีด้วยความเร็วต่ำ (เบอร์1 ) พอเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ( ประมาณ? นาที )
3. ปาดอ่างผสมก่อนแล้วใช้ความเร็วสูงสุดตีต่ออีก 6 นาที แล้วลดความเร็วเป็นต่ำสุดตีอีก 1-1/5 นาที
4. นำส่วนผสมเทลงพิมพ์ที่ทาไขมันบางๆ

วิธีที่5 ผสมแยกไข่ขาวไข่แดง ต้องแยกไข่ขาวออกจากไข่แดงก่อน และทิ้งให้ไข่มีอุณหภูมิปกติก่อนจะทำให้ไข่ขาวขึ้นฟูมาก
วิธีนี้จะได้เค้กที่ขึ้นฟูและมีปริมาณมากสุด แต่เสียเวลาในการทำ
1. ร่อนแป้ง ผงฟู ของแห้งรวมกันพักไว้
2. ตีเนยพอขึ้นเติมน้ำตาลทีละช้อนจนหมดใช้หัวตีใบพัดและใช้ความเร็วปานกลาง (เบอร์2) ใช้เวลาประมาณ 10 นาที แล้วแต่ปริมาณน้ำตาล
3. เติมไข่แดงลงในข้อ 2 ทีละฟอง ต้องตีให้เข้ากันดีก่อนที่จะเติมฟองต่อไป
4. นำของแห้งที่ร่อนเตรียมไว้ลงสลับกับของเหลวที่เหลือ ต้องใช้ความเร็วต่ำ (เบอร์1)
5. ตีไข่ขาวที่แยกไว้กับครีมออฟทาร์ทาร์ (หรือจะใช้น้ำมะนาวแทนได้) ด้วยความเร็วสูงสุดของเครื่อง จนกระทั่งตั้งยอดอ่อนเติมน้ำตาลที่แบ่งไว้ทีละน้อยจนหมด ตีต่อจนตั้งยอดแข็ง เนียนขึ้นเงามัน ( ประมาณ 15-20 นาที)
6. นำส่วนผสมไข่แดงเทลงเบาๆ ในส่วนไข่ขาวแล้วตะล่อมเบาๆ ให้เข้ากันควรผสมด้วยมือ
ตะล่อมโดยกลับล่างขึ้นบนสลับกันต้องทำเร็วแต่เบาๆ เพื่อรักษาฟองอากาศไว้ให้มากที่สุด
1. เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีอย่าคนต่อขนมจะยุบตัวต้องรีบใส่พิมพ์และนำเข้าอบทันที

วิธีที่6. ผสมทุกอย่างยกเว้นไขมัน วิธีนี้ต้องใช้สารอิมัลซิไฟล์เออร์ ช่วย และต้องใช้ไขมันละลาย ต้องใช้เครื่องผสมเท่านั้น
1. ถ้าใช้เนยต้องนำไปละลายและทิ้งไว้ให้เย็นก่อนที่จะมาผสม
2. นำของเหลวเทลงอ่างผสม แล้วเททุกอย่างยกเว้นไขมันละลาย ตีด้วยความเร็วต่ำประมาณ 1/5 นาที
3. เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีเปลี่ยนเป็นความเร็วสูงสุดตีต่ออีก 10 นาที แล้วเปลี่ยนความเร็วต่ำ 1/2 นาที
4. นำไขมันละลายที่เตรียมมาเคล้าเบาๆ แต่เร็วๆ ให้เข้ากัน ต้องผสมด้วยมือแล้วเทลงพิมพ์ที่ทาไขมันบาง ๆ





ที่มา: http://www.welovebakery.com/store/article/view/%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%81-110129-th.html

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สายพัธุ์กระต่าย

กระต่ายพันธุ์ คาลิฟอร์เนีย (Californian Breed)



กระต่ายพันธุ์ คาลิฟอร์เนีย  เป็นกระต่ายสีขาว มีสีดำหรือเทาที่บริเวณใบหู จมูกเท้า ปลายเท้า และปลายหาง ตาสีชมพู เป็นกระต่ายขนาดกลางโตเต็มที่หนัก 3.5-4.5 กิโลกรัม แคลิฟอร์เนียสายพันธุ์ของกระต่ายในประเทศ ได้รับการพัฒนา ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1920 โดยจอร์จเวสต์ กระต่ายแคลิฟอร์เนียเป็นสายพันธ์การผลิตเนื้อสัตว์ เป็นที่นิยมอันดับสองมากที่สุดในโลก คุณภาพขนสัตว์จะช่วยให้กระต่ายนี้ยังจะจัดว่าเป็นสายพันธุ์แฟนซี


กระต่ายพันธุ์นิวซีแลนด์ไวท์ (Newzealand White)



กระต่ายพันธุ์นิวซีแลนด์ไวท์ เป็นกระต่ายที่นิยมเลี้ยงกันแพร่หลายที่สุด มีขนสีขาวตลอดตัว ตาสีแดงหน้าสั้น มีสะโพกใหญ่ ไหล่กว้าง ส่วนหลังและสีข้างใหญ่ เนื้อเต็ม ให้ลูกดกเลี้ยงลูกเก่ง เมื่อโตเต็มที่ ตัวผู้หนัก 4.1-5.0 กิโลกรัม ตัวเมียหนัก 4.5-5.5 กิโลกรัม




กระต่ายพันธุ์ มินิเร็กซ์ (Minirex) มีมากมายหลายเฉดสี เช่น blue, californian, castor, chinchilla, lynx, opal, red, seal, tortoise, white and broken group.ขนาด 1.4- 2 กิโลกรัม เป็นสายพันธ์ที่ได้รับการยอมรับ รับเข้า ARBA เมื่อปี 1988 กระต่าย สายพันธุ์ มินิเร็กซ์ เป็นกระต่ายที่มีโครงสร้างสมดุลและได้สัดส่วน ร่างกายของมันกะทัดรัด มีความกว้างสมดุลกับความยาว ช่วงไหล่ ลำตัว และบั้นท้าย ทุกอย่างพัฒนามาอย่างดี หัวไหลแคบกว่าบั้นท้่้ายเล็กน้อย ทำให้ตัวค่อยๆ เรียวลง หัวของตัวเมีย ค่อยข้างเรียบ กว่า หัวของตัวผู้ ขนในอุดมคติต้องยาว 1.6 ซม. ขนควรตรงและเป็นมัน มีการ์ดแฮร์จำนวนมาก ขนชั้นนอก ให้ความรู้สึกนุ่ม และสปริงตัว




วู๊ดดี้ ทอย (Woody Toy)อ่านชื่อแล้วเพื่อนๆ อาจจะเกิดอาการมึน เล็กน้อย อันที่จริงแล้ว Woody Toy ชื่อฟังดูมีคำว่า วู๊ดดี้ เหมือนกัน ก็น่าจะคล้ายกับ เจอรี่ วู๊ดดี้ แต่ไม่ใช่ กระต่ายพันธุ์วูดดี้ ทอย นี้จะคล้ายกับ Teddy Bear มากกว่า เพราะว่า พัฒนาสายพันธุ์ต่อจาก Teddy Bear โดยทำให้มีขนาดเล็กลงไปอีก มองแล้วคล้ายกับเอา Teddy Bear มาหดให้เล็กลง เพราะว่า หน้าตาคล้ายกับ Teddy Bear เลย ลักษณะคือ หน้าตาจะเหมือน Teddy Bear เลย แต่หูจะสั้นกว่า มองเห็นคล้าย รูปสามเหลี่ยมด้านเท่า และเมื่อโตเต็มที่แล้วตัวจะเล็กกว่า Teddy Bear



Teddy หรือ Teddy Bear เป็นกระต่ายที่เป็นลูกผสมเช่นกัน และได้พัฒนาสายพันธุ์กันมาต่อจาก เจอรี่ วู๊ดดี้ จนค่อนข้างนิ่งในเมืองไทย กระต่ายพันธุ์นี้ จะนิยมเลี้ยงกันมาก เพราะว่า รูปร่างน่ารัก ตัวจะกลมฟู ขนจะฟูยาวประมาณ 4-5 นิ้ว




กระต่ายพันธุ์ แองโกล่า ( Angora Rabbit ) เป็นกระต่ายขนยาวที่สุดในโลก ขนมีลักษณะอ่อนนุ่ม กระต่ายแองโกล่าเป็นกระต่ายสายพันธุ์เก่าแก่ มีต้นกำเนิดมาจาก เมืองแองโกล่า ( Ankara ) ประเทศตรุกี ( Turkey ) เช่นเดียวกับ แมวแองโกล่า และแพะแองโกล่า กระต่ายพันธุ์นี้เป็นที่นิยมในประเทศฝรั่งเศลในยุคกลาง ปี ค.ศ.1700 และเข้ามาในอเมริกาประมาณปี 1900 กระต่ายแองโกล่าแบ่งออกได้เป็น 5 สายพันธุ์ เป็นกระต่ายพันธุ์ขน ชื่อพันธุ์ได้มาจากเมืองแองโกล่า ในตุรกี ขนสีขาวฟูประมาณ 2-3 นิ้ว นิยมตัดมาประดิษฐ์เครื่องแต่งกาย สามารถตัดขนได้ปีละ 4 ครั้ง ให้ขนเฉลี่ยปีละ 600-1750 กรัม โตเต็มที่หนัก 2.4-3.8 กิโลกรัม




กระต่ายพันธุ์ไลอ้อน-เฮด (Lion heads)เป็นกระต่ายพันธุ์ใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เหมือนกับเป็น พันธุ์ แฟนซี กล่าวกันว่าต้นกำเนิดอยู๋ ในประเทศเบลเยี่ยม ผู้เพาะพันธุ์กระต่าย พยายามเพาะกระต่ายพันธุ์ดวอร์ฟโค้ท ขนยาว (long Coated Dwarf) ซึ่งมีลักษณะแคระขนยาว โดยข้ามสายพันธุ์ระหว่างกระต่ายพันธุ์สวิส ฟอกซ์เล็ก ผสมกับ กระต่ายพันธุ์เบลเยี่ยมแคระ หรือ ในบางครั้งก็ผสมกับ วู๊ดดี้เจอร์ซี่ กระต่ายพันธุ์ไลอ้อน-เฮด (ซึ่งกลายเป็นสายพันธุ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ในการพยายามผสม ข้ามสาย พันธุ์ข้างต้น) ในที่สุดก็กลายเป็นสายพันธุ์ ที่ได้รับความนิยมมาก กว่ากระต่ายสายพันธุ์ดวอร์ฟโค้ทขนยาว


                                                                                                        อ้างอิงจาก : http://rabbitsbybeau.blogspot.com/

คำแนะนำก่อนการตัดสินใจเลี้ยงกระต่าย



ก่อนการที่จะเลี้ยงกระต่ายต้องคำนึงถึงสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้

1. วัตถุประสงค์การเลี้ยง ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเลี้ยงได้น่ะค่ะ เพราะการเลี้ยงกระต่ายจะเป็นภาระหนักสำหรับคนที่ไม่มีเวลามาก  จริงๆแล้วกระต่ายเป็นสัตว์เลี้ยงที่ต้องเอาใจใส่ในการดูแล เช่น การกิน  ที่อยู่อาศัย  การทำความสะอาด ดังนั้นถ้าหากผู้ที่สนใจจะเลี้ยงเพียงเพราะเล่นๆแล้ว  ก็ควรหันไปเลี้ยงอย่างอื่นแทน  เพราะกระต่ายมีอายุระหว่าง 3-6 ปีเลยน่ะค่ะ  ดังนั้นผู้ที่คิดว่าจะเลี้ยงต้องคำนึงถึงขอนี้ให้มากๆเลยค่ะ

2.พื้นที่ในการเลี้ยง  การเลี้ยงกระต่ายต้องมีพื้นที่ในการเลี้ยงไม่ใช่แค่ขังไว้ในกรงเพียงอย่างเดียว  ต้องมีพื้นที่ในการปล่อยเค้าออกมาเล่นด้วย  เพราะจะทำให้กระต่ายร่าเริง คุ้นชินกับคนเลี้ยง  และสุขภาพแข็งแรง  อีกอย่างกระต่ายเป็นสัตว์ที่รักสะอาดมาก คุณต้องมีเวลาในการดูแลส่วนนี้ด้วย 

3.กระต่ายเป็นสัตว์ที่ฉลาดมาก  ดังนั้นถ้าคุณเล่นกับมันบ่อยๆมันก็จะขี้อ้อนกับคุณมากเลยค่ะ

4. ความเชื่อที่ว่า กระต่ายมันกัดจริงไหม?  ขอตอบว่าจริงค่ะ  แต่มันจะกัดเฉพาะเวลาที่เราไปบังคับมัน หรือทำให้มันหงุดหงิดมันก็จะกัดเพื่อเป็นการเตือน  บางครั้งก็เพื่อป้องกันตัว  แต่ไม่บ่อยน่ะค่ะ  บางสายพันธุ์ก็กัดแทบไม่เป็นเลย

5. ข้อนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้  นั้นคือความรัก  ถ้าเลี้ยงโดยไม่มีความรักมันอาจจะทำให้คุณเลี้ยงได้ไม่นาน เบื่อแล้วก็เอาไปปล่อย อย่างนี้ถือว่าไม่ควรตัดสินใจเลี้ยงน่ะค่ะ อย่างที่บอกกระต่ายอายุยืนมาก ถ้าไม่รัก ไม่เอาใจใส่ มันจะเป็นโรคซึมเศร้า หลายตัวอย่างที่มีในชีวิตจรึงก็คือไม่ใส่ใจ ไม่อาบน้ำเลย ขนมันก็จะพันธุ์กันยุ่งไปหมด เจ้าของบางคนไม่เคยตัดขนให้มันเลย บางสายพันธุ์ขขนจะยาวตลอดชีวิต ดังนั้นผู้ที่กำลังตัดสินใจ ก็ควรคิดให้รอบครอบก่อนน่ะค่ะ

ครั้งต้องไปจะมีบล์อกสาระดีๆเกี่ยวกับการเลี้ยงกระต่ายมาให้อ่านใหม่ ขอบคุณน่ะค่ะที่ติดตาม ^^

แนะนำบล็อก

สวัสดีค่ะ
ขอต้อนรับเข้าสู่บล์อกของการเลี้ยงกระต่าย สำหรับผู้ที่สนใจและรักการเลี้ยงกระต่ายโดยเฉพาะ  โดยการสร้างบล์อกนี้ผู้จัดทำมีความประสงค์ที่จะให้ความรู้  ความเข้าใจ ในการดูแล เลี้ยงกระต่าย


ยินดีต้อนรับ


ยินดีต้อนรับเข้าสู่Bloggerของวัชรียา  สุตรา

บล็อกนี้ใช้เพื่อการใช้ในวิชาการใช้อินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน